วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องของสัตว์ที่บางคนยังไม่รู้

-หัวใจปลาวาฬเต้นนาทีละ 9 ครั้ง

- แมวใช้หนวดวัดความกว้างของช่องที่มันจะมุด

- ช้างค้นหาแหล่งน้ำในระยะ 5 กิโลเมตรได้ด้วยการดมกลิ่นน้ำ

- ไส้เดือนในออสเตเรียตัวยาว 3 เมตร

- สัตว์ในโลกร้อยละ 80 มี 6 ขา

- ตัวตุ่นสามารถขุดรูยาวถึง 75 เมตรในเวลาชั่วคืนเดียว

- หอยทากมีฟัน 25,000 ซี่

- จิงโจ้กระโดดครั้งเดียว 9 เมตร แต่ถ้าหากไม่แตะพื้น จิงโจ้จะกระโดดไม่ได้

- แมลงวันตามบ้านมีอายุขัย 2 สัปดาห์

- แมงกะพรุนประกอบด้วยน้ำร้อยละ 95

- ดูอุ้ยอ้าย แต่ฮิปโปโปเมมัสวิ่งเร็วกว่ามนุษย์

- ม้ายืนหลับ

- ลิ้นยีราฟยาว 21 นิ้ว เลียทำความสะอาดหูตัวเองได้

- แมลงปอมีอายุขัยเฉลี่ย 1 วัน

- ลิ้นจระเข้ขยับไม่ได้และเคี้ยวไม่เป็น มันกลืนเหยื่อโดยไม่เคี้ยว

- วัวหนึ่งตัวผายลมมากเท่ากับมนุษย์ 200 คนต่อวัน

- กิ้งก่าเปลี่ยนสีผิวให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมได้ แม้ว่ามันจะตาบอด

- ผึ้งงานหรือผึ้งที่ทำงานหนักหาอาหารเลี้ยงครอบครัวคือ ผึ้งตัวเมีย

- เจ้าของสัตว์เลี้ยงร้อยละ 40 เคยคุยกับสัตว์เลี้ยงของตนทางโทรศัพท์

- มีความเชื่อผิดๆว่าสุนัขตาบอดสี อันที่จริงสุนัขมองเห็นสีต่างๆ แต่ไม่คมชัด
คล้ายภาพที่เราเห็นยามโพล้เพล้

- ลิ้นแมวมีปุ่มเล็กๆ คล้ายขอจำนวนมาก เราจึงรู้สึกสากเวลาโดนแมวเลีย

- ฉลามน้ำจืดมีอยู่ที่เดียวในโลกคือ แม่น้ำคงคาในอินเดีย

- แมลงสาบหัวขาดอาจมีชีวิตอยู่นาน 9 วันกึ๋ย…!!!

- แมลงปอบินได้เร็วถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

- หงส์ทุกตัวในอังกฤษ เป็นสมบัติของพระราชินีอังกฤษ

- เวลามดโดนยาเบื่อตาย มันจะล้มตะแคงขวา

- หมัดกระโดดได้ไกล 350 เท่าของความยาวตัว ถ้าเปรียบกับคน จะเท่ากับกระโดดข้ามสนามฟุตบอลได้

- สีของตัวเหาจะเปลียนตามสีของเส้นผมของคน ที่มันอาศัยอยู่ (เจ้าป้าเราจะมีเหาสีอารายน้า…?)

- อนุสาวรีย์ทหารขี่ม้ามีสัญลักษณ์ซ่อนอยู่ดังนี้ ถ้ามียกขาหน้าทั้งสองข้าง แปลว่าผู้ขี่ตายในสนามรบ ถ้ายกขาหนึ่งข้าง แปลว่าผู้ขี่ตายจากบาดแผลสงคราม และถ้าไม่ยกขา แปลว่าผู้ขี่ ตายด้วยเหตุธรรมชาติ

- เสือมองเห็นในที่มืดชัดกว่ามนุษย์ 6 เท่า

- สัตว์กินเนื้อทุกชนิดจะไม่กินเหยื่อที่ตายเพราะถูกฟ้าผ่า

- ตานกกระจอกเทศใหญ่กว่าสมอง 2 เท่า

- สุนัขที่ฉลาดน้อยที่สุดคือ พันธุ์อัฟกัน ส่วนที่ฉลาดมากที่สุดตามลำดับคือ คอลลี่ พูเดิ้ล และโกลเด้นรีทรีฟเวอร์

- สัตว์ที่พลิกโฉมประวัติศาสตร์โลกคือ ตัวหมัด หมัดฆ่าคนยิ่งกว่าสงครามโลกครั้งใด หมัดเป็นพาหะนำโรคกาฬโรค ซึ่งฆ่าคนมากมายมหาศาลในช่วงศตวรรษที่ 14

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ช่วงเวลาที่ดีที่สุด


ในช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้บวชภาคฤดูร้อน และได้มีโอกาสได้ออกเดินธุดงค์ ไปที่วัดพลับพลาชัย อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี


จะสนุกแค่มาติดตามกันเลยครับ



การเดินธุดงค์ของพุทธบุตรผู้กล้า ในโครงการอบรมพระธรรมทายาท ภาคฤดูร้อน รุ่นที่38 ได้ทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา เพราะทุกรูปต่างก้าวไปด้วยใจที่มุ่งมั่น เพื่อไปพัฒนาวัดร้างให้กลับมารุ่งเรืองสว่างไสวอีกครั้ง และก่อนที่พระธรรมทายาททุกรูปจะได้ออกเดินธุดงค์ ก็ได้มีการนั่งธรรมะกลั่นใจใสๆ เพื่อให้ทุกย่างก้าวเกิดเป็นบุญกุศลอย่างเต็มเปี่ยม



พระสิทธิพล โชติพโล กล่าวว่า ในช่วงการเดินธุดงค์ แดดร้อนมากๆๆครับ ผมเดินเป็นรูปที่ยี่สิบ สัมภาระที่มีติดตัวก็คือย่ามและกลด ตลอดเส้นทางผมเห็นญาติโยมมากมาย มาคอยถวายน้ำดื่มเป็นขวดๆ พอเดินไปอีกหน่อยก็มีโยมมาถวายยาคูลท์ นมเปรี้ยว มีโยมผู้ชายท่านหนึ่งจะคอยเดินตามคณะพระธุดงค์ตลอดเวลา และจะเพียรถามพระด้วยความเป็นห่วงอยู่เรื่อยๆว่า...หลวงพี่จะเอายาดมไหมครับ ถ้าจะเอาก็บอกได้เลยนะครับ ผมจะคอยบริการให้



แค่ชาวบ้านเห็นพระธุดงค์เดินผ่านมา ก็จะพากันมานั่งพนมมือรับ เมื่อคณะพระธุดงค์เดินไปถึงบ้านหลังหนึ่ง ก็เห็นว่าทุกคนในบ้านเอากระติกน้ำเย็นๆใส่อุทัยทิพย์มาคอยถวาย น้ำหนึ่งแก้ว คนกว่าสิบคนจับแก้วน้ำแบบต่อๆกัน ทำให้ผมรู้ว่าญาติโยมมีความศรัทธา และอยากที่จะได้บุญกับเนื้อนาบุญ จึงทำให้พระธุดงค์ทุกรูปยิ่งสงบสำรวม โดยไม่ลืมที่จะตรึกถึงองค์พระตลอดเวลาเลยครับ



เมื่อคณะพระธุดงค์ไปถึงวัดพลับพลาไชย ก็มีชาวบ้านเป็นจำนวนมากพร้อมใจกันมาประกอบพิธีล้างเท้าพระ มีพ่อเฒ่าหลายท่านถึงกับก้มลงกราบแทบเท้า จนหน้าผากจรดเท้าพระธุดงค์ ญาติโยมหลายคนก็ถึงกับอุทานว่า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีพระธุดงค์มาจริงๆ เกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้ว ที่ได้เห็นพระธุดงค์เยอะๆแบบนี้



เมื่อพระธุดงค์ขึ้นไปกราบท่านเจ้าอาวาส อายุ 88ปี จึงได้ทราบว่าท่านรู้ล่วงหน้าว่าพระธุดงค์จะมา ท่านเล่าว่า อดีตเจ้าอาวาสมาเข้าฝันและบอกให้ท่านคอยเตรียมต้อนรับคณะพระธุดงค์ให้ดี ท่านบอกว่าเวลาญาติโยมมาทำบุญ หลวงพ่อก็จะบอกให้พวกเขาคอยเตรียมตัวต้อนรับพระธุดงค์ ชาวบ้านก็ฟังกันแบบงงๆ บางคนก็บอกว่าจะมีพระธุดงค์มาได้อย่างไร แล้ววันนี้พระธุดงค์ก็มาจริงๆ ดีเหลือเกินวัดของหลวงพ่อจะได้กลับมาสว่างอีกครั้งและสิ่งที่ทำให้ท่านปลื้มยิ่งกว่าปลื้มก็คือ การที่คณะพระธุดงค์มาช่วยกันพัฒนาวัด




วัดพลับพลาไชยเป็นวัดที่มีเสนาสนะค่อนข้างสมบูรณ์ สังเกตจากสิ่งก่อสร้างต่างๆ แสดงว่าต้องเคยเป็นวัดที่รุ่งเรืองมาก่อน พระธรรมทายาทลุยทำความสะอาดทั้งห้องน้ำ ศาลา โบสถ์ และพื้นที่รอบๆ ซึ่งแต่ละแห่งนั้นล้วนเต็มไปด้วยขี้ฝุ่น ขี้ดิน หยากไย่ใยแมงมุมที่ก่อตัวอย่างหนาเตอะ และที่สร้างความตะลึงให้กับทุกรูปก็คือ มีมูลนกกระจัดกระจายเต็มไปหมดทุกพื้นที่ บางจุดมีมูลนกสูงเป็นคืบๆ พระธุดงค์ต้องใช้สิ่วค่อยๆแซะไปทีละจุด บางจุดที่หนามากๆก็ใช้จอบขุดกันเลยทีเดียว



ลุยพัฒนาวัดกันตั้งแต่สว่างจนฟ้ามืด และยังพัฒนาต่อไปจนถึงอีกหนึ่งวัน ทำให้ชาวบ้านรู้สึกตื้นตันใจ เมื่อเห็นต้นแบบที่ดีจากพระธุดงค์อย่างนี้แล้ว จึงชักชวนกันมาช่วยพระธุดงค์ทำความสะอาดวัดอีกแรง จนวัดสะอาดมากๆ สะอาดหมดจดทุกซอกทุกมุม ชาวบ้านคนหนึ่งกล่าวว่า เหมือนได้วัดใหม่ ที่เพิ่งสร้างเลยนะครับหลวงพี่



เสียงสวดมนต์ก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อพระธุดงค์ได้ใช้พื้นที่โบสถ์ในการสวดมนต์ นั่งสมาธิ และจุดประทีปถวายเป็นพุทธบูชา มีชาวบ้านมาร่วมกิจกรรมกว่าสองร้อยคน และขณะนั้นก็มีฝนตกลงมารินๆ สร้างความชุ่มฉ่ำใจ ชาวบ้านดีใจมากที่ฝนตก เพราะที่นี่แล้งมาก ฝนไม่ตกมานานแล้ว ผู้ใหญ่ขาว อดีตผู้ใหญ่บ้าน เล่าว่าโบสถ์นี้สร้างมากว่าสี่สิบปีแล้วครับ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ประกอบพิธีเวียนเทียนรอบโบสถ์ และตั้งแต่สร้างวัดมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมดีใจสุขใจเป็นที่สุด หลวงพ่อรูปไหนนะที่ส่งพระธุดงค์มาอย่างนี้ ช่างมีเมตตาและมีวิสัยทัศน์จริงๆเลย



ในช่วงเช้าที่ออกบิณฑบาต พระทุกรูปต้องเดินไปบนเส้นทางที่เป็นหินกรวดที่คอยทิ่มตำเท้าทั้งสองข้าง แต่ความเจ็บปวดก็หายไปสิ้น เมื่อเห็นญาติโยมนำภัตตาหารขึ้นจบจนท่วมหัว ทุกบ้านได้นำของที่ดีที่สุดออกมาใส่บาตรด้วยความเบิกบาน จนพระธุดงค์เองยังไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าจะมีชาวบ้านออกมาใส่บาตรมากมายขนาดนี้ บางคนใส่แล้วใส่อีก มีเท่าไหร่ใส่หมด ใส่แตงโมเป็นลูกๆก็ยังมี พอบิณฑบาตผ่านร้านเสริมสวย เจ้าของร้านที่กำลังสระผมให้ลูกค้า ก็ยังหยุดทุกสิ่งทิ้งทุกอย่างขอออกมาใส่บาตรด้วย



อีกหนึ่งบุญใหญ่ ที่อยู่ในใจพระธุดงค์ทุกรูปก็คือ การทำหน้าที่ชักชวนชายแมนแมนให้มาบวชในรุ่นเข้าพรรษา ดังนั้นไม่ว่าจะบิณฑบาตหรือเทศน์สอนญาติโยม ก็จะทิ้งท้ายด้วยการชักชวนให้ชาวบ้านมาบวช ส่วนชาวบ้านเองก็เบิกบานสุดๆ เพราะเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา และอยากให้มีพระเยอะๆมาอยู่ในท้องถิ่นของตน จึงช่วยกันทำหน้าที่ จนเริ่มมีคนเขียนใบสมัครมาส่งกันแล้ว โดยชาวบ้านรับคำว่า จะชวนชายแมนแมนมาบวชให้ได้มากที่สุด



ในวันสุดท้ายที่พระธุดงค์จะต้องเดินทางกลับ ก็มีญาติโยมมากมายมาตั้งแถวรอส่งพระธุดงค์ น้าๆป้าๆหลายท่าน นั่งร้องไห้จนตาแดง เพราะไม่อยากให้พระธุดงค์จากไป แต่ก่อนจะจากกันญาติโยมต่างก็บอกว่าจะช่วยกันดูแลวัด จะเป็นชาวพุทธที่ดี และจะทำให้วัดพลับพลาไชย เป็นศูนย์รองรับพระในโครงการบวชพระแสนรูปให้ได้ เมื่อพระธุดงค์ตั้งแถวและเริ่มเดิน ชาวบ้านก็นำผ้าเช็ดหน้าออกมาให้พระธุดงค์เดินเหยียบ บางคนไม่ได้เตรียมผ้ามาก็เอาหมวกที่ใส่มาให้พระธุดงค์เหยียบแทนเพื่อเก็บไว้บูชา ส่วนเด็กผู้ชายตัวน้อยๆรวมถึงโยมผู้ชายก็มาช่วยพระธุดงค์แบกกลด และเดินไปส่งจนถึงระยะหนึ่ง จึงยอมกลับไป



การเดินธุดงค์ธรรมชัย ทำให้พระพุทธศาสนาในทุกชุมชนกลับมาสว่างไสวและเข้มแข็งอีกครั้ง จึงนับเป็นสิ่งอัศจรรย์ ที่ทั้งมนุษย์และเทวดา ต้องกล่าวคำอนุโมทนา จนสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งจักรวาล



เชิญชมวิดิโอครับ



ภาษาเหนือ




ภาษาเหนือ...ที่แตกต่าง



ใครว่าคนเหนือพูดช้า บ่ใช่ละ คนเมียงอู้โวยจะตาย (คนเหนือพูดไวหรอก)


ที่เห็นว่า คนเหนือจะพูด เจ้า ช้าๆ เป็น จ้าวว นั้น เป็นเผื่อการ ทำให้สำเนียงดูเพราะขึ้น ต่างหากละ ลองจับคนเหนือมาคุยกันสิ ยิ่งตอนเถียงกัน คุณจะยิ่ง งง และบอกว่า มันคุยอะไรกันฟร่ะ



ภาษาเหนือบ่ใช่มีสำเนียงเดียว


จังหวัดที่ใช้ภาษาเหนือจริงๆ มีอยู่แค่ไม่กี่จังหวัด เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน พะเยา แพร่ เป็นต้น และในแต่ละจังหวัด สำเนียงก็แตกต่างกันออกไป(บ่ใช่คนเมียง แยกบ่ใช่ออกหรอก) อาจมีบางจังหวัดที่เหมือนกัน ข้อแตกต่างนี้ ยกตัวอย่างได้จาก จังหวัด เชียงใหม่ กับ ลำปาง(บ้านผมเอง) คนเจียงใหม่ จะพูด สำเนียงอ่อนๆ หวานๆ ช้านิดหน่อย แต่ลำปาง จะพูด รวดเร็ว สำเนียงหนักแน่น จนมี ประโยคหนึ่งออกมา เจียงใหม่บาง ลำปางหนา **เสริมหน่อย ถ้าคุณเจอคนเหนือ ที่ชอบพูดลงท้ายด้วยหนา น่านแหละ คนลำปาง



คำไทย คำเมือง บางคำ เปลี่ยนแค่ ตัวอักษร


ถ้าคุณ ต้องการแปล ภาษาเหนือ เป็นภาษาไทย คำบางคำ นั้นแปลง่ายมาก แถมยังใช้เป็นหลักในการแปล ไปแปลคำอื่นได้อีกด้วย หลักการจากที่สังเกตมาครับ



จ ในภาษาเหนือ จะเทียบได้กับ ช หรือ ฉ ในภาษาไทย(แต่ไม่ทุกคำ) เช่น


จาด = ชาติ, จ่วย=ช่วย, แจะ=แฉะ, ใจ่=ใช่ เป็นต้น



ฮ ในภาษาเหนือ จะเทียบได้กับ ร ในภาษาไทย(ไม่ทุกคำ) เช่น


ฮัก=รัก, ฮู้=รู้, ฮ้อง=ร้อง, ฮับ=รับ แฮง=แรง, เฮา=เรา เป็นต้น



ต ในภาษาเหนือ จะเทียบได้กับ ท ในภาษาไทย(ไม่ทุกคำ) เช่น


ตี่=ที่, ต่า=ท่า, แต้=แท้ ตุก=ทุกข์ เตียน=เทียน เป็นต้น



คำเฉพาะ ของ เพศ ของภาษาเหนือ


ในภาษาเหนือ ผู้หญิง ผู้ชาย จะมีคำลงท้าย ที่บอกลักษณะเพศ อยู่ สองคำ


คือ บะ ผู้ชายใช้ อิ ผู้หญิงใช้ เช่น



ชาย วันนี้คิงจะไปแอ่วไหนบะ(วันนี้...จะไปเที่ยวไหน) หรือ คิงไปไกลๆteenฮาเลยหนาบะ(...ไปไกลๆteenกูเลยนะ)



หญิง แห่นแต๊อิ(ร่านจริงๆนะ) หรือ ฮาก็ว่าจะอั้นเนอะอิ (กรูก็ว่าอย่างนั้นแหละ)ยกตัวอย่างแรงไปไหมตู



คำสรรพนาม ของภาษาเหนือ


ภาษาเหนือ ก็มีความสรรพนาม ที่เป็นทั้งคำแบบหยาบคาย แหละสุภาพ เหมือนกับ ภาษาไทย


สรรพนามแบบสุภาพ เปิ้น=ฉัน, ตัว=เธอ, เฮา=เรา, เปิ้น=เขา(บุคคลที่สาม คำเหมือนกับ เปิ้นที่แปลว่า เรา จะแยกแยะ ของคำนี้ ออก ต้องดูจากเหตุการณ์)



สรรพนามแบบหยาบคาย(ซึ่งคนไทยดูว่ามันไม่หยาบเลย) ฮา=กู, คิง=...



เพิ่มเติม สรรพนามแบบบ้านๆ


สู หรือ หมู่สู=พวกเธอ อะไรประมาณนี้



สุดท้ายละ เป็นคำที่ ประกอบประโยค (ขำๆนะ)



ประโยค คำถาม เช่นคำว่า ไหม=บ๋อ เช่น


เฮามาเป็นแฟนกันบ๋อ (เรามาเป็นแฟนกันไหม)



คำว่า ก๊ะ,อิ๊,แหล๊=หรอ เช่น



บ่าวอกนั้นอู้จะอั้นแต๊ก๊ะ (ไอ้ลิงนั้นมันพูดอย่างนั้นจริงๆหรอ)



A: “ตะวาฮาไปกินเค้กร้านนั้นมาเอ๊ะ จ้าดลำเลยบะเฮ้ย


B: “อิ๊



แปล


A:”เมื่อวานกรูไปกินเค้กร้านนั้นมา อร่อยโครตๆเลยว่ะ


B: “หรอ (ออกแนวไม่เชื่อ หรือประชด อ่ะนะ)



A: “หมู่สูๆ เจื่อก่อ แถวบ้านฮาหนา มีโต๊กโตหลวง แปงฮางอยู่บนเก๊าลำไยเอ๊ วันนั้นฮาไปป๊ะใส่ มันกำลังกินงูเขียวเอ๊ะสู


B: “แหล๊.......



แปล


A: พวกเธอๆ เชื่อไหม แถวบ้านกูอ่ะ มีตุ๊กแกตัวใหญ่ ทำรังอยู่บนต้นลำใยอ่ะ วันนั้นกู ไปเจอเข้า มันกำลังกินงูเขียวแหละพวกเธอ


B: “หรออออ (ท่านหารู้ไม่ว่า การตอบแบบนี้ เป็นเชิง บอกว่า ตอแxล ด้วยแหละ เหอะๆ)




ปล.ถ้าใช้ภาษาไม่ถูกต้อง หรือ ตกหล่นอย่างไร ของโทษด้วยนะครับ



ผลงานของ Photo shop


สวัสดีคับนี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้วนะคับที่ได้มาอัพ Blog ผลงานก็อาจจะยังขัดหูขัดตาอยู่บ้างนะคับเพราะเพิ่งงานที่สองเอง ยังงงๆ อยู่ไม่รู้ว่าจะเริ่ม ดำเนินการ และลงท้ายยังไง อาจจะยังดูไม่เข้าตาเท่าที่ควร แต่ผมก็พยามยามนะคับทำนะคับ เรามาเข้าเรื่องเลยกันดีกว่าเน๊าะ


คือปกติแล้วผมก็เป็นคนที่ติดเนท และ คอมพิวเตอร์มากๆๆๆๆ เว็บที่ผมเข้าบ่อยๆ ก็จะเป็น google youtube facebook kapook แล้วก็ postjung เวลาเครียดๆ เหนื่อยผมก็มักจะเข้าเว็บพวกนี้ ไม่เบื่อเลย


เว็บ google ที่เข้าไปผมก็เข้าไปทำทุกอย่างเลยนะทั้งหาข้อมูล แปลภาษา ค้นหาสถานที่ คำนวนเส้นทางการเดินทาง ไปส่องดูมุมนั้นมุมนี้ของโลก ที่ที่เรายากไป และที่ที่เราเคยไปมาแล้วประทับใจ เป็นต้น


ส่วนทาง youtube นี่ก็เข้าบ่อยไม่แพ้กัน ก็เพราะเป็นศูนย์รวมวีดิโอทุกรูปแบบ ทั้งสาระ และเฮฮา บันเทิงทุกรูปแบบ ขาดไม่ได้เลยคับเว็บนี้


Facebook อันนี้เล่นนานแล้ว ไม่ต้องอธิบายกันมาก สังคมในนี้ก็ครึกครื้นมากๆ เป็นช่องทางที่ดีในการติดต่ออีกช่องทางหนึ่งที่ดีทีเดียว


Kapook เว็บนี้เป็นเว็บแรกที่ผมรู้จักในชีวิตเลยทำให้ติดต้องเข้าให้ได้ถ้าเล่นเนท


และสุดท้าย postjung เว็บที่ผมจะได้รอยยิ้มเสมอเมื่อเข้ามาเว็บนี้ วันนี้ผมก็ไปเจอวิดิโอสองสามอันที่โดนมาก และรูถ่ายอีกนิดหน่อย เชิญชมคร้าบบบบว่าเป็นอะไรบ้าง





วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว


นี่คือ การเขียน Blog ครั้งแรก ในครั้งที่สอง หวังว่ามันจะผ่านไปด้วยดี